มาตรการอนุรักษ์การได้ยิน หรือชื่อเก่า โครงการอนุรักษ์การได้ยิน

ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทํามาตรการอนุรักษ์การได้ยินในสถานประกอบกิจการ โดยที่กฎกระทรวงกําหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเกี่ยวกับความร้อน แสงสว่าง และเสียง พ.ศ. ๒๕๕๙ กําหนดให้นายจ้างจัดทํามาตรการอนุรักษ์การได้ยินในสถานประกอบกิจการในกรณีที่สภาวะการทํางาน ในสถานประกอบกิจการมีระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รับเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทํางานแปดชั่วโมง ตั้งแต่แปดสิบห้าเดซิเบลเอขึ้นไป ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีประกาศกําหนด อาศัยอํานาจตามความในข้อ ๑๑ แห่งกฎกระทรวงกําหนดมาตรฐานในการบริหารจัดการ และดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเกี่ยวกับความร้อน แสงสว่าง และเสียง พ.ศ. ๒๕๕๙ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้

  ข้อ ๑ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

  ข้อ ๒ ให้นายจ้างจัดทํามาตรการอนุรักษ์การได้ยินในสถานประกอบกิจการเป็นลายลักษณ์อักษร ในกรณีที่สภาวะการทํางานในสถานประกอบกิจการมีระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รับเฉลี่ยตลอดระยะเวลา การทํางานแปดชั่วโมงตั้งแต่แปดสิบห้าเดซิเบลเอขึ้นไป ซึ่งอย่างน้อยต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับรายการ ดังนี้

     (๑) นโยบายการอนุรักษ์การได้ยิน

     (๒) การเฝ้าระวังเสียงดัง (Noise Monitoring)

     (๓) การเฝ้าระวังการได้ยิน (Hearing Monitoring)

    (๔) หน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้นายจ้างประกาศมาตรการอนุรักษ์การได้ยินในสถานประกอบกิจการให้ลูกจ้างทราบ

   ข้อ ๓ ให้นายจ้างจัดให้มีการเฝ้าระวังเสียงดัง โดยการสํารวจและตรวจวัดระดับเสียง การศึกษาระยะเวลาสัมผัสเสียงดัง และการประเมินการสัมผัสเสียงดังของลูกจ้างในสถานประกอบกิจการ แล้วแจ้งผลให้ลูกจ้างทราบ

   ข้อ ๔ ให้นายจ้างจัดให้มีการเฝ้าระวังการได้ยินโดยให้ดําเนินการ ดังนี้

     (๑) ทดสอบสมรรถภาพการได้ยิน (Audiometric sting) แก่ลูกจ้างที่สัมผัสเสียงดังที่ได้รับ เฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทํางานแปดชั่วโมงตั้งแต่แปดสิบห้าเดซิเบลเอขึ้นไป และให้ทดสอบสมรรถภาพ การได้ยินของลูกจ้างครั้งต่อไปอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง

     (๒) แจ้งผลการทดสอบสมรรถภาพการได้ยินให้ลูกจ้างทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่นายจ้าง ทราบผลการทดสอบ

     (๓) ทดสอบสมรรถภาพการได้ยินของลูกจ้างซ้ําอีกครั้งภายในสามสิบวันนับแต่วันที่นายจ้าง ทราบผลการทดสอบ กรณีพบว่าลูกจ้างมีสมรรถภาพการได้ยินเป็นไปตามข้อ ๖ หน้า ๑๖ เล่ม ๑๓๕ ตอนพิเศษ ๑๓๔ ง ราชกิจจานุเบกษา ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑

        ข้อ ๕ เกณฑ์การพิจารณาผลการทดสอบสมรรถภาพการได้ยินให้เป็นไป ดังนี้

          (๑) ใช้ผลการทดสอบสมรรถภาพการได้ยินครั้งแรกของลูกจ้างที่ความถี่ ๕๐๐ ๑๐๐๐ ๒๐๐๐ ๓๐๐๐ ๔๐๐๐ และ ๖๐๐๐ เฮิรตซ์ ของหูทั้งสองข้างเป็นข้อมูลพื้นฐาน (Baseline Audiogram) และ

         (๒) นําผลการทดสอบสมรรถภาพการได้ยินครั้งต่อไปเปรียบเทียบกับผลการทดสอบสมรรถภาพ การได้ยินที่เป็นข้อมูลพื้นฐานทุกครั้ง   

        ข้อ ๖ หากผลการทดสอบสมรรถภาพการได้ยิน พบว่าลูกจ้างสูญเสียการได้ยินที่หูข้างใดข้างหนึ่ง ตั้งแต่สิบห้าเดซิเบลขึ้นไปที่ความถี่ใดความถี่หนึ่ง ให้นายจ้างจัดให้มีมาตรการป้องกันอันตรายอย่างหนึ่งอย่างใด แก่ลูกจ้าง ดังนี้

        (๑) จัดให้ลูกจ้างสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลที่สามารถลดระดับเสียง ที่ลูกจ้างได้รับเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทํางานแปดชั่วโมงน้อยกว่าแปดสิบห้าเดซิเบลเอ

        (๒) เปลี่ยนงานให้ลูกจ้าง หรือหมุนเวียนสลับหน้าที่ระหว่างลูกจ้างด้วยกันเพื่อให้ระดับเสียง ที่ลูกจ้างได้รับเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทํางานแปดชั่วโมงน้อยกว่าแปดสิบห้าเดซิเบลเอ

     ข้อ ๗ ให้นายจ้างจัดทําและติดแผนผังแสดงระดับเสียง (Noise Contour Map) ในแต่ละพื้นที่ เกี่ยวกับผลการตรวจวัดระดับเสียง ติดป้ายบอกระดับเสียงและเตือนให้ระวังอันตรายจากเสียงดัง รวมถึงจัดให้มีเครื่องหมายเตือนให้ใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลในแต่ละพื้นที่ที่มีความเสี่ยง จากเสียงดังและทุกพื้นที่ที่มีระดับเสียงดังตั้งแต่แปดสิบห้าเดซิเบลเอขึ้นไป โดยรูปแบบและขนาดของ แผนผังแสดงระดับเสียง ป้ายบอกระดับเสียงและเตือนให้ระวังอันตรายจากเสียงดัง และเครื่องหมายเตือน ให้ใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล ให้เป็นไปตามแนบท้ายประกาศนี้

     ข้อ ๘ ให้นายจ้างอบรมให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการอนุรักษ์การได้ยินความสําคัญ ของการทดสอบสมรรถภาพการได้ยิน อันตรายของเสียงดัง การควบคุม ป้องกัน และการใช้อุปกรณ์ คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลแก่ลูกจ้างที่ทํางานในบริเวณที่มีระดับเสียงดังที่ได้รับเฉลี่ยตลอดระยะเวลา การทํางานแปดชั่วโมงตั้งแต่แปดสิบห้าเดซิเบลเอขึ้นไป และลูกจางท ้ ี่เกี่ยวข้องในสถานประกอบกิจการ

     ข้อ ๙ ให้นายจ้างประเมินผลและทบทวนการจัดการมาตรการอนุรักษ์การได้ยินในสถาน ประกอบกิจการไม่น้อยกว่าปีละหนึ่งครั้ง

     ข้อ ๑๐ ให้นายจ้างบันทึกข้อมูลและจัดทําเอกสารการดําเนินการตามข้อ ๓ ถึงข้อ ๑๐ เก็บไว้ในสถานประกอบกิจการไม่น้อยกว่าห้าปี พร้อมที่จะให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้ ประกาศ ณ วันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ อนันต์ชัย อทุ ัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

ข้อ 5 เกณฑ์การพิจารณาผลการทดสอบสมรรถภาพการได้ยิน

  1. ข้อมูลพื้นฐาน (Baseline Audiogram)

   * ต้องใช้ ผลการทดสอบครั้งแรก ของลูกจ้าง

   * ความถี่ที่ต้องตรวจ: 500, 1000, 2000, 3000, 4000 และ 6000 Hz

   * ตรวจทั้ง หูซ้ายและหูขวา

   * ผลการตรวจนี้จะเป็น ข้อมูลพื้นฐาน (Baseline) สำหรับเปรียบเทียบการตรวจครั้งต่อไป

   2. การเปรียบเทียบผลครั้งต่อไป

   * ทุกครั้งที่ทำการตรวจสมรรถภาพการได้ยิน ต้อง เปรียบเทียบผลใหม่กับ Baseline

   * เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของระดับการได้ยิน เช่น การสูญเสียที่ถดถอยลง

   * การเปรียบเทียบนี้เป็น เครื่องมือสำคัญในการเฝ้าระวังสุขภาพการได้ยิน ของลูก

  ข้อ 6 มาตรการเมื่อตรวจพบการสูญเสียการได้ยิน

  เงื่อนไขการพิจารณา

    * หากผลการตรวจสมรรถภาพการได้ยินพบว่า ลูกจ้างสูญเสียการได้ยิน ≥ 15 เดซิเบล

    * เกิดขึ้นที่ หูข้างใดข้างหนึ่ง และ ในความถี่ใดความถี่หนึ่ง

นายจ้างต้องดำเนินการป้องกันอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้

     1. จัดหาและบังคับใช้ PPE (อุปกรณ์ป้องกันการได้ยิน)

   * เช่น ที่อุดหู (Ear Plugs) หรือ ที่ครอบหู (Ear Muffs)

   * ต้องสามารถลดระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รับเฉลี่ย 8 ชั่วโมง (TWA) ให้ต่ำกว่า 85 dBA

    2. เปลี่ยนงานหรือหมุนเวียนพนักงาน (Job Rotation)

    * ย้ายไปทำงานในพื้นที่ที่เสียงต่ำกว่า

    * หรือหมุนเวียนพนักงานเพื่อลดเวลาที่อยู่ในพื้นที่เสียงดัง

    * ต้องทำให้ระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รับเฉลี่ย 8 ชั่วโมง น้อยกว่า 85 dBA

 

ความหมายของข้อ ๗
นายจ้างต้องดำเนินการ จัดทำและติดตั้งสื่อแสดงข้อมูลเกี่ยวกับเสียงดังในสถานประกอบการ ได้แก่
แผนผังแสดงระดับเสียง (Noise Contour Map)
เป็นแผนผังพื้นที่ทำงาน ที่ระบายสี/แรเงาเพื่อบอกว่าแต่ละโซนมีระดับเสียงกี่เดซิเบล
เช่น สีเขียว = ต่ำกว่า 80 dBA, สีเหลือง = 80–84 dBA, สีแดง = ≥ 85 dBA
ป้ายบอกระดับเสียง
ติดตั้งในพื้นที่ทำงาน บอกค่าระดับเสียงเฉลี่ย เช่น “บริเวณนี้เสียง 90 dBA”
ป้ายเตือนอันตรายจากเสียงดัง
ต้องมีข้อความหรือสัญลักษณ์เตือน เช่น ⚠️ “อันตราย เสียงดัง”
เครื่องหมายบังคับใช้ PPE
ติดเครื่องหมายบังคับใส่ที่อุดหู/ที่ครอบหู (ตามมาตรฐาน ISO หรือ มอก.)
ต้องติดในพื้นที่ที่เสียงดังเกิน 85 dBA ขึ้นไป
วัตถุประสงค์
  1. ให้ลูกจ้างรับรู้ความเสี่ยงเสียงดังในแต่ละโซน
  2. ป้องกันการสูญเสียการได้ยินจากการทำงาน
  3. สอดคล้องตาม แนบท้ายประกาศกฎกระทรวง ที่กำหนดรูปแบบ ขนาด สี และข้อความมาตรฐาน
ตัวอย่างการนำไปใช้ในโรงงาน
โรงกลึง/โรงเชื่อมโลหะ → ทำแผนที่ Noise Contour Map ติดที่หน้าทางเข้าแผนก บอกจุดที่เกิน 85 dBA เป็นสีแดง
สายการผลิตอาหาร → บริเวณเครื่องจักรเสียงดัง (เช่น เครื่องบด, คอมเพรสเซอร์) ต้องติดป้ายเตือน “ใส่ที่อุดหู”
โกดัง/คลังสินค้า → ติดสัญลักษณ์ “Danger: High Noise Area” และ “Wear Hearing Protection”

 

มีแผนผัง Noise Contour Map (สีเขียว–เหลือง–แดง)

ข้อ 8 การอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรการอนุรักษ์การได้ยิน

นายจ้างต้องจัดอบรมให้ลูกจ้าง ที่ทำงานในบริเวณที่มีเสียงดังเฉลี่ย ≥ 85 dBA (ตลอด 8 ชั่วโมง) รวมถึงลูกจ้างที่เกี่ยวข้อง โดยเนื้อหาการอบรมควรครอบคลุม:

     1. มาตรการอนุรักษ์การได้ยิน

           * ความสำคัญของการควบคุมเสียงในสถานประกอบการ

           * วิธีการจัดการเสียงดังให้ปลอดภัย

         1. การทดสอบสมรรถภาพการได้ยิน

            * ความสำคัญของการตรวจสมรรถภาพการได้ยินเป็นประจำ

            * วิธีการอ่านและใช้ผลทดสอบเพื่อป้องกันความเสี่ยง

         2. อันตรายของเสียงดัง

            * ผลกระทบต่อหูและสุขภาพ เช่น หูตึง ถาวรหรือชั่วคราว

            * ผลกระทบต่อสมาธิ ความเครียด และประสิทธิภาพการทำงาน

        3. วิธีการควบคุมและป้องกันเสียงดัง

            * การใช้วิธีการทางวิศวกรรม (Engineering Controls)

            * การจัดการทางการบริหาร (Administrative Controls)

         4. การใช้อุปกรณ์ป้องกันการได้ยิน (PPE)

            * การเลือกใช้ที่อุดหู (Ear Plug) หรือที่ครอบหู (Ear Muff)

            * วิธีใส่ให้ถูกต้องและปลอดภัย

ข้อ ๙ การประเมินผลและทบทวนมาตรการอนุรักษ์การได้ยิน

ข้อกำหนด:
นายจ้างต้อง ประเมินผลและทบทวน การจัดการมาตรการอนุรักษ์การได้ยิน
ต้องทำอย่างน้อย ปีละ 1 ครั้ง
วัตถุประสงค์:
1. ตรวจสอบว่ามาตรการที่ใช้สามารถ ควบคุมเสียงและลดความเสี่ยงได้จริง
2. ทบทวน ประสิทธิภาพของการตรวจวัดเสียงและการตรวจสมรรถภาพการได้ยิน
3. ปรับปรุงการอบรม ความรู้ และการใช้ PPE ให้ทันสมัยและเหมาะสม
4. แก้ไขปัญหาที่พบในรอบปี เช่น การใส่ PPE ไม่ถูกต้อง การบำรุงรักษาเครื่องจักรไม่ต่อเนื่อง
แนวทางการทบทวน:
1. จัดทำ รายงานประจำปี เกี่ยวกับการจัดการเสียงดัง
2. เชิญ คณะกรรมการความปลอดภัย/เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย เข้าร่วมทบทวน
3. ใช้ ข้อมูลตรวจวัดเสียง, ข้อมูลการตรวจการได้ยิน, สถิติอุบัติเหตุ/เจ็บป่วยจากเสียง เป็นหลักฐานประกอบ

ข้อ ๑๐ การบันทึกและการจัดทำเอกสาร

ข้อกำหนด:

    * นายจ้างต้อง บันทึกข้อมูลและจัดทำเอกสาร เกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อ ๓ – ข้อ ๑๐

    * ต้อง เก็บรักษาเอกสารไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี ในสถานประกอบกิจการ

    * เอกสารต้อง พร้อมให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้ ตลอดเวลา


ตัวอย่างข้อมูล/เอกสารที่ต้องจัดเก็บ

    1. ผลการตรวจวัดระดับเสียง (Noise Measurement Records)

    2. ผลการตรวจสมรรถภาพการได้ยินของลูกจ้าง (Audiogram Reports)

    3. มาตรการควบคุมเสียง ที่ได้ดำเนินการ (Engineering / Administrative Controls)

    4. การอบรมพนักงาน เกี่ยวกับการอนุรักษ์การได้ยิน

     5. รายงานการประเมินผลและทบทวนมาตรการประจำปี

     6. การแจกจ่ายและการใช้ PPE

Visitors: 638,645