เตือนภัยสาวชอบใส่ส้นสูง

 

รองเท้าส้นสูงเป็นหนึ่งในเครื่องแต่งกายที่มีจำเป็นสำหรับผู้หญิงหลายคนในยุคนี้ไปเสียแล้ว เพราะเมื่อสวมใส่แล้วทำให้สาวๆ หลายคนเกิดความมั่นใจ ช่วงขาดูเรียวสูง ดูสง่า บุคลิกโดยรวมดูดีขึ้น บ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงได้อย่างชัดเจน

แต่รู้หรือไม่ว่าภัยเงียบที่แฝงมากับความสวยเหล่านี้ คุณต้องแลกมากับโรคภัยไม่น้อยเลยทีเดียวหากใส่ส้นสูงไม่ถูกวิธี และดูแลรักษาเท้าของตนเองไม่ดีพอโดยเฉพาะโรคที่เกิดกับ กระดูก ข้อเข่า ข้อเท้า ซึ่งเป็นปัญหาที่ทรมานพอสมควรเมื่ออายุมากขึ้น

นพ.ธนันท์ สมิทธรักษ์ ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ รพ.ปิยะเวท กล่าวว่า สาวๆ ที่ชอบใส่ส้นสูงติดต่อกันเป็นเวลานานๆ หรือใส่ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดขา ปวดเท้า ปวดหลัง หรือลุกลามไปเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมได้ในอนาคต และมีความเสี่ยงมากสำหรับสาวๆ ที่มีน้ำหนักตัวเกินและสาวๆ ที่ชอบวิ่งบนรองเท้าส้นสูง ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งตามรถเมล์ รถไฟฟ้า

หรือแม้แต่ใส่ขึ้นลงบันไดก็ตาม เนื่องจากการสวมใส่ส้นสูงทำให้เท้าต้องยืนเขย่ง อยู่ตลอดทั้งวันนั้น ทำให้กระดูกนิ้วเท้า เอ็นข้อเท้า เอ็นร้อยหวาย กล้ามเนื้อน่อง และเข่า ต้องเกร็งอยู่ตลอดเวลา ส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของเลือด ทำให้เกิดอาการปวดน่องบ่อย ๆ และเป็นตระคริว

ซึ่งอาการเหล่านี้จะส่งผลให้เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมได้ก่อนวัยอันควร หากใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสมกับรูปเท้า ก็อาจเกิดการกดทับและเสียดสี ก็อันตรายเช่นกัน อาทิ การสวมใส่รองเท้าที่มีหน้าแคบเกินไป อาจบีบรัดอุ้งเท้าจนเกิดบาดแผลได้ เป็นต้น นอกจากอาการที่เกิดกับเท้าแล้ว การสวมรองเท้าส้นสูงยังส่งผลกระทบต่อกระดูกสันหลังทำให้มีอาการปวดเกร็งที่หลัง เนื่องจากแกนของกระดูกสันหลังและแผ่นหลังจะโน้มไปข้างหน้า เพื่อให้ร่างกายสามารถตั้งตรงและทรงตัวได้บนรองเท้าส้นสูง ทำให้กระดูกบริเวณบั้นเอวรับน้ำหนักมาก เมื่อสะสมเป็นเวลานาน หมอนรองกระดูกอาจจะเคลื่อนออกมา และกดทับเส้นประสาท จนอาจเกิดอาการปวดหลังอย่างรุนแรงได้

เตือนภัย...สาวชอบใส่ส้นสูง © กรุงเทพธุรกิจ เตือนภัย...สาวชอบใส่ส้นสูง
นพ.ธนันท์ แนะนำว่า สาว ๆ ที่หลงรักการใส่ส้นสูงควรเลือกใส่เฉพาะเวลาที่จำเป็นและไม่ควรใส่ที่ส้นสูงมากเกิน 1.5 นิ้ว ถ้าเป็นไปได้ให้เลือกแบบส้นหนาหรือที่เรียกกันว่าส้นตึกจะดีกว่า เพื่อลดปัญหาข้อเท้าพลิกจากรองเท้าส้นแหลม และในหน้าฝนแบบนี้ ควรใส่รองเท้าส้นแบนมากกว่ารองเท้าส้นสูงจะดีกว่า เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มจากการใส่รองเท้าส้นสูง หรือถ้าหากเกิดอุบัติเหตุข้อเท้าพลิก จนเกิดอาการปวดหรือบวมบริเวณข้อเท้า ให้ใช้น้ำแข็งประคบบริเวณข้อเท้าประมาณ 20 -30 นาที ขณะเดียวกันให้ยกขาขึ้นสูง ทำซ้ำ ๆ ประมาณ 4 – 5 ครั้งต่อวัน ในช่วงแรก ๆ ที่เกิดการบาดเจ็บ และควรประคบต่ออีก 2 – 3 วัน หลังจากนั้น ให้ประคบร้อน

ข้อห้ามสำคัญคือ ห้ามนวด หรือบิดข้อเท้าเป็นอันขาด แต่ถ้าประคบแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือแย่ลง รวมถึงอาการต่าง ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ปวดขา ปวดเข่า ปวดหลัง ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง หรือทิ้งไว้จนลุกลามจนเป็นเรื้อรัง ควรรีบมาปรึกษาแพทย์ทันที สำหรับแนวทางการรักษานั้นมีหลายวิธีด้วยกันขึ้นอยู่กับอาการของคนไข้เป็นหลัก เช่น การทำกายภาพ บำบัด การบริหารกล้ามเนื้อ หรือการให้ยาบรรเทา

อาการสำหรับผู้ที่มีอาการไม่มาก แต่สำหรับผู้ที่มาด้วยอาการของโรคข้อเข่าเสื่อมอย่างชัดเจนนั้น แพทย์อาจแนะนำให้ใช้วิธีฉีดน้ำไขข้อเทียมเพื่อลดอาการปวด ซึ่งน้ำไขข้อเทียมจะเป็น สาร Hyaluronic Acid (HA) เป็นสารที่มีอยู่ในข้อของมนุษย์ มีลักษณะที่เหนียว และยืดหยุ่นสูงทำให้ข้อต่างๆ โดยเฉพาะผิวกระดูกข้อเข่าไม่ได้รับแรงกด หรือกระแทกมาก เวลาคนเราเดิน หรือวิ่ง นอกจากนั้น สารนี้ยังช่วยให้เกิดความลื่นที่ผิวกระดูกอ่อนเวลาเรางอหรือเหยียดหัวเข่า การเสียดสีที่ผิวกระดูกจะน้อยลง ทำให้กระดูกอ่อนผุกร่อนลดน้อยลงตามไปด้วย ส่งผลให้ข้อเข่าอักเสบ ปวด บวม แดง ร้อนน้อยลงเช่นกัน

โดยปกติคนเราจะมีน้ำในข้อเข่าอยู่ประมาณ 1-2 ซีซี เท่านั้น เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้นน้ำในข้อเข่าก็จะมีปริมาณลดลงโดยเฉพาะคนที่เป็นข้อเข่าเสื่อม มักพบว่าน้ำในข้อเข่ามีปริมาณที่น้อยมาก คนที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมขั้นรุนแรงน้ำในเข่าแทบจะแห้งผากจนไม่มีเหลือเลยครับ สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คืออาการของข้อเข่าเสื่อมจะลุกลามเร็วมากขึ้นไปอีก บางคนเข่าโก่งขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดภายใน 1 ปี

แพทย์กล่าวทิ้งท้ายว่า ผู้ที่มีอาการมากๆ หรือได้รับการรักษาด้วยวิธีข้างต้นแล้วไม่ได้ผลแพทย์อาจแนะนำให้ทำการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ซึ่งในปัจจุบันสามารถใช้งานได้ใกล้เคียงธรรมชาติ และเป็นวิธีการรักษาที่ลดอาการปวดได้ดี มีอายุการใช้งานประมาณ 10 – 15 ปี แต่ถึงอย่างไรก็ตามการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมให้หายขาดได้ ทุกวิธีการรักษาจึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดอาการปวด ทำให้การเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันดีขึ้น คนไข้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม นั่นก็หมายถึงการรักษาที่ปลายเหตุ

การดูแลและป้องกันตนเองให้ห่างจากโรคข้อเข่าเสื่อมจึงเป็นสิ่งที่ควรทำมากที่สุด ยิ่งคุณผู้หญิงที่สูงอายุแล้วยังมีพฤติกรรมการใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำอยู่ ควรหมั่นตรวจเช็คสุขภาพกระดูกและข้อเป็นประจำทุกปี เพราะเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาจะได้หาทางรักษาอย่างทันท่วงที

Visitors: 569,395