ฮิยาริ Hiyari hatto

 ขอบคุณ  คุณ tuttai

ในเวปไซด์  jorpor.com

 

 

ผลกระทบจากการเกิดอุบัติเหตุ (Direct & Indirect Impacts)

การเกิดอุบัติเหตุในสถานประกอบการส่งผลกระทบหลายด้าน ไม่ใช่แค่บาดเจ็บหรือเจ็บป่วยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ ภาพลักษณ์ และประสิทธิภาพการทำงานของทั้งองค์กรด้วย โดยผลกระทบแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่


1) ผลกระทบทางตรง (Direct Impacts)

ผลกระทบที่เกิดขึ้น “ทันที” หลังจากอุบัติเหตุเกิดขึ้น

ตัวอย่าง

1. การบาดเจ็บ / เสียชีวิตของพนักงาน

   กระดูกหัก /แผลไฟไหม้ / การสูญเสียอวัยวะ /เสียชีวิต

2. ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์และค่าชดเชย

   ค่ารักษาพยาบาล/ค่าชดเชยตามกฎหมายประกันสังคม / ค่าใช้จ่ายฟื้นฟูสภาพร่างกาย

3. ความเสียหายต่อเครื่องจักรหรืออุปกรณ์

   เครื่องจักรพัง /ส่วนประกอบชำรุด / อุปกรณ์เสียหาย

4. ความเสียหายต่อสินค้าและทรัพย์สิน

  วัตถุดิบเสีย / สินค้าชำรุด / พื้นที่โรงงานได้รับความเสียหาย

ผลกระทบทางตรงวัดได้อย่างชัดเจน และเกิดขึ้นทันทีที่มีอุบัติเหตุ


2) ผลกระทบทางอ้อม (Indirect Impacts)

ผลกระทบที่เกิดตามมา แม้มองไม่เห็นทันทีแต่มีความรุนแรงและต้นทุนสูงกว่าทางตรงหลายเท่า

 ตัวอย่าง

1. เวลาหยุดผลิต (Downtime)

    ต้องหยุดเครื่องจักร/ต้องหยุดไลน์ผลิตเพื่อสอบสวน /สูญเสียกำลังการผลิต

2. ค่าใช้จ่ายแฝงอื่น ๆ

     ค่าซ่อมเครื่องจักร/ ค่าโอทีให้พนักงานมาทำงานชดเชย / ค่าอบรมซ้ำหรือฝึกพนักงานใหม่ 

3. ขวัญกำลังใจพนักงานลดลง 

     เกิดความกลัว ความไม่มั่นใจ/ทำให้การทำงานช้าลง / ส่งผลต่อวัฒนธรรมความปลอดภัยระยะยาว

4. ภาพลักษณ์องค์กรเสียหาย

     ลูกค้าไม่มั่นใจในมาตรฐาน /  ความเชื่อมั่นจากคู่ค้าลดลง / กระทบต่อโอกาสทางธุรกิจ

5. คดีความและบทลงโทษทางกฎหมาย

    ค่าปรับจากหน่วยงานราชการ / การถูกสั่งหยุดใช้งานเครื่องจักรหรืออาคาร /คดีความจากบุคลากรหรือบุคคลภายนอก

ผลกระทบทางอ้อมมักมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าผลกระทบทางตรงมากถึง 4–10 เท่า


 สรุปง่าย ๆ

ประเภทผลกระทบตัวอย่างลักษณะ
ผลกระทบทางตรง บาดเจ็บ, ค่ารักษา, ความเสียหายของเครื่องมือ เกิดทันที วัดได้
ผลกระทบทางอ้อม หยุดผลิต, ขวัญกำลังใจตก, ภาพลักษณ์เสีย เกิดตามมา มักรุนแรงกว่า

 

 

 

 

 

เป้าหมาย “อุบัติเหตุเป็นศูนย์” (Zero Accident)

Zero Accident ไม่ได้หมายความว่าอุบัติเหตุจะ “ไม่มีทางเกิดขึ้นเลย 100%” แต่หมายถึง
  การมุ่งมั่นอย่างสูงสุด ที่จะไม่ปล่อยให้มีอุบัติเหตุที่เกิดจากความเสี่ยงที่ป้องกันได้

เป็นแนวคิดที่เน้นว่า ทุกอุบัติเหตุสามารถป้องกันได้ (All accidents are preventable)
ถ้าองค์กรมีระบบบริหาร ความร่วมมือ และวัฒนธรรมความปลอดภัยที่ดีพอ


ความหมายสำคัญของ Zero Accident

1) ความปลอดภัยต้องมาก่อน (Safety First)

พนักงานทุกระดับให้ความสำคัญกับความปลอดภัยก่อนความเร็ว หรือกำไร

2) อุบัติเหตุทุกเหตุสามารถป้องกันได้ (Preventable)

ไม่มีเหตุไหนที่ “ยอมรับได้” หรือ “เลี่ยงไม่ได้”

3) พนักงานทุกคนมีส่วนร่วม

ความปลอดภัยไม่ใช่หน้าที่ของ จป. เท่านั้น
แต่เป็นความรับผิดชอบของทุกคนในองค์กร

4) สร้างวัฒนธรรมการสังเกตและรายงาน

Near Miss / Hiyari Hatto ต้องถูกแจ้งเสมอ
เพราะเป็นสัญญาณเตือนก่อนเกิดเหตุร้ายแรง


องค์ประกอบที่ทำให้ Zero Accident ประสบความสำเร็จ

1. การนำของผู้บริหาร (Leadership)

     * ผู้บริหารลงพื้นที่

     * เอาจริงเรื่องความปลอดภัย

     * สนับสนุนทรัพยากร / งบประมาณ

⭐2. ระบบบริหารความปลอดภัยที่ดี

     * SOP / WI ชัดเจน

      * การประเมินความเสี่ยง (JSA / HIRA)

      * การซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน (PM)

3. พฤติกรรมที่ปลอดภัย (BBS – Behavior Based Safety)

      * สังเกต

      * ให้คำแนะนำ

      * ปรับพฤติกรรมที่เสี่ยง

4. การสื่อสารและอบรมต่อเนื่อง

       * Safety Talk

       * Tool Box Meeting

       *ป้ายเตือน / สื่อความปลอดภัย

5. ระบบรายงาน Near Miss

ยิ่งรายงานมาก ยิ่งป้องกันได้มาก


ประโยชน์ของแนวคิด Zero Accident

   * ลดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บ

     *  ลดค่าใช้จ่ายทางการแพทย์และค่าชดเชย

     * เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

      * สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้องค์กร

   * เพิ่มขวัญกำลังใจพนักงาน

      * สร้างวัฒนธรรมที่ทุกคน “กลับบ้านอย่างปลอดภัยทุกวัน”


สรุป

Zero Accident = เป้าหมายสูงสุดของความปลอดภัย ที่ทุกคนร่วมกันสร้าง ไม่ใช่สโลแกนบนกระดาษ

องค์กรที่ทำ Zero Accident สำเร็จ คือองค์กรที่ เชื่อว่าอุบัติเหตุทุกชนิด “ป้องกันได้” และลงมือทำอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง

 

แนวคิดและหลักการที่นำไปสู่การทำงานที่ปลอดภัย

การทำงานที่ปลอดภัยไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจาก "ระบบที่ดี" + "พฤติกรรมที่ถูกต้อง" + "วัฒนธรรมความปลอดภัยร่วมกัน"
แนวคิดต่อไปนี้คือพื้นฐานสำคัญที่ทำให้องค์กรสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืน


1) ความปลอดภัยต้องมาก่อน (Safety First)

  * ให้ความสำคัญกับชีวิตและสุขภาพของพนักงานก่อนผลผลิตและความเร็ว

    * ตัดสินใจทุกอย่างโดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก

    * หากพบความเสี่ยง ต้องหยุดและแก้ไขก่อนทำงานต่อ

สโลแกนหลัก:

“งานหยุดได้ แต่ความปลอดภัยหยุดไม่ได้”


2) อุบัติเหตุทุกเหตุสามารถป้องกันได้ (All Accidents Are Preventable)

   * ทุกเหตุการณ์เกิดจาก “เหตุ” และ “ความเสี่ยง” ที่ควบคุมได้

     * ถ้าขจัดความเสี่ยง—อุบัติเหตุก็จะไม่เกิด

     * การเรียนรู้จาก Near Miss / Hiyari Hatto คือหัวใจของการป้องกัน


3) การทำงานตามมาตรฐาน (Work Standard / SOP / WI)

  * ใช้มาตรฐานงานที่ชัดเจน ถูกต้อง และเหมาะสม

     * ไม่มีการลัดขั้นตอนเพื่อความเร็ว

      * ทบทวนและปรับปรุงมาตรฐานให้ทันสมัยเสมอ

หลักการสำคัญ:

“ทำตามมาตรฐานทุกครั้ง คือวิธีลดความเสี่ยงดีที่สุด”


4) การประเมินความเสี่ยงก่อนเริ่มงาน (Risk Assessment)

ประกอบด้วย:

       การระบุอันตราย (Hazard Identification)

       การประเมินความเสี่ยง (JSA / HIRA)

        การกำหนดมาตรการควบคุม (Control Measures – Engineering / Administrative / PPE)

พนักงานต้องรู้เสมอว่า “อะไรคือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในงานนี้?”


5) การใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล (PPE)

    * ใส่ PPE ให้ครบถ้วนตามประเภทงาน

     * เลือก PPE คุณภาพดี กระชับ และใช้งานได้จริง

     * ตรวจสอบก่อนใช้งานทุกครั้ง

PPE ไม่ได้ป้องกันอุบัติเหตุ 100% แต่ลดความรุนแรงได้มาก


6) พฤติกรรมที่ปลอดภัย (Behavior-Based Safety – BBS)

     * หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ลัดขั้นตอน ยกของผิดท่า ใช้โทรศัพท์ระหว่างทำงาน

     * สังเกต–แนะนำ–สนับสนุนกันในทีม

     * ความปลอดภัยเป็นความรับผิดชอบของทุกคน

ตัวอย่าง BBS:

     * บอกเตือนเพื่อนร่วมงานเมื่อเห็นความเสี่ยง

      * ชื่นชมพฤติกรรมที่ปลอดภัย


7) การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ (Effective Communication)

    * Safety Talk, Tool Box Meeting

     * ป้ายเตือน, สื่อภาพ, สัญลักษณ์ความปลอดภัย

     * รายงานเหตุการณ์ทันทีผ่านระบบ (Line, QR, App)

ยิ่งสื่อสารมาก ความเสี่ยงยิ่งลดลง


8) การฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง (Safety Training)

    * อบรมพนักงานใหม่ (Orientation)

     * อบรมประจำปี

     * อบรมเฉพาะงานเสี่ยง เช่น งานที่สูง งานร้อน ไฟฟ้า Lockout/Tagout

ความรู้คือการป้องกันอุบัติเหตุที่ดีที่สุด


9) การซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance – PM)

     * ตรวจสอบเครื่องจักรและอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ

     * ซ่อมก่อนเสีย ไม่ใช่เสียแล้วค่อยซ่อม

      * ใช้ Checklists / PM Schedule

เครื่องจักรที่พร้อม = ลดอุบัติเหตุจากการทำงาน


10) วัฒนธรรมความปลอดภัย (Safety Culture)

  * ทำให้ความปลอดภัยเป็น “ค่านิยม” ขององค์กร

     * ผู้บริหารต้องเป็นตัวอย่าง (Lead by Example)

     * พนักงานทุกคนต้องมีส่วนร่วม

 สรุปแนวคิดที่นำไปสู่การทำงานที่ปลอดภั

ความปลอดภัยต้องมาก่อน

 ทุกอุบัติเหตุป้องกันได้

 ทำตามมาตรฐานเสมอ

 ประเมินความเสี่ยงก่อนเริ่มงาน

 ใช้ PPE

 ปรับพฤติกรรมให้ปลอดภัย

 สื่อสารและอบรมอย่างต่อเนื่อง

เครื่องจักรต้องพร้อม

 วัฒนธรรมต้องเข้มแข็ง

Visitors: 644,860